Tag

Slider

Browsing

ข่าวการปิดตัวของร้านอาหารที่อยู่คู่อารีย์สัมพันธ์อย่าง Pla Dib มาถึงหูพวกเราอย่างสายฟ้าแลบ และ ถูกส่งต่อ ๆ กันปากต่อปากอย่างรวดเร็ว “หา! ปิดแล้วเหรอ” “ใช่ เขาจะสร้างคอนโดน่ะ” “แล้วพี่เขาจะไปทำอะไรต่อ” บทสทนาแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในระยะเวลาไม่นาน จนทำให้เพื่อนบ้านอารีย์ต้องติดต่อ “คุณพริว” เจ้าของร้านปลาดิบ เพื่อหาถ้อยแถลงเกี่ยวกับปิดตัวลงของร้านอาหารแห่งนี้หลังจากยืนหยัดอยู่เกิน 20 ปีมาให้ได้

เมื่อคิดดูแล้ว เราไม่เคยมีโอกาสได้ขอสัมภาษณ์ใครจากร้านนี้มาก่อนเลย ทั้งที่เป็นร้านดังร้านหนึ่งของย่าน เสียใจที่ต้องบอกกับตัวเองว่า หากไม่ได้ติดต่อไปครั้งนี้ ก็คงจะได้พูดถึงกันในฐานะอดีตเสียแล้ว วันนี้เราจึงอยากจะถ่ายทอดเรื่องราว แรงบันดาลใจ และก้าวต่อไปของคุณพริวเจ้าของร้าน มาเล่าสู่กันฟัง

ร้านปลาดิบ (Pla Dib) เป็นร้านอาหารแนวเอเชี่ยนฟิวชั่นฟู้ด ตั้งอยู่ ณ บ้านเก่าหลังหนึ่งที่อยู่ตรงปากทางเข้ากรมประชาสัมพันธ์ เป็นแหล่งแฮงค์เอ้าท์ในตอนกลางคืน กับอาหารแต่ละเมนูที่ถูกคิดค้นขึ้นมาอย่างดี และคัดสรรวัตถุดิบมาอย่างตั้งใจ และไม่ต้องแปลกใจ ถ้ามานั่งทานอาหารที่นี่แล้วได้กระทบไหล่ดาราดัง นักการเมือง และบุคคลจากวงการสร้างสรรค์มากมาย

“เปิดมา 20 กว่าปีแล้วนะ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากอ่ะ เป็นคนชอบทำอาหารมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้วด้วย บ้านอยู่แถวนี้ ก็อยากให้มีร้านแถว ๆ บ้านบ้าง จะได้ไม่ต้องไปถึงทองหล่อตลอด สมัยก่อน (ปี 2000) แถวนี้ไม่มีอะไรเลย กรมประชาสัมพันธ์ก็ไม่มีนะ ตรงข้ามร้านนี่ก็มีกั้นสังกะสีไว้ เดินเข้าไปก็เป็นเสาส่งสัญญาณ ผมเข้าไปปั่นจักรยานเล่นกับเพื่อนประจำ จะมีอยู่ร้านนึงที่เก่าและอยู่มานานจริง คือร้านสวนกุหลาบ ที่ย้ายมาจากสโมสรทหารบก”

อารีย์ในยุคนั้น ไม่มีร้านอาหารให้เลือกมากมาย ไม่มีคอนโด สิ่งเดียวที่อู่ฟู่ที่สุดคือบ้านหลังใหญ่ของนายทหารและนักการเมืองที่เรียงรายกัน เด็กแต่ละบ้านจะรู้จักกัน และออกมาเล่นกันเป็นประจำ ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณพริวเอง ก็มาจากตระกูลข้าราชการที่มีเอี่ยวในการเมืองอยู่ไม่น้อย แต่ก็ถือเป็นเรื่องปกติของคนแถวนี้

“คุณพ่อเป็นคนชอบทำอาหาร และชอบชิมอาหารครับ ผมก็เลยมีโอกาสได้ไปร้านอาหารที่หากินยาก ๆ ต่าง ๆ สมัยก่อนอาหารฝรั่งเศส อิตาเลี่ยน นี่มีอยู่ไม่กี่ที่ครับ ต้องไปกินถึงในโรงแรมเลย ส่วนคุณย่าผมแกเคยเป็นคนสนิทและดูแลเรื่องอาหารในวังของเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ ที่สุขุมวิท ครอบครัวเราเลยได้รับการถ่ายทอดสูตรอาหารจากคุณย่า รวมถึงความชื่นชอบด้วย”

(ใครที่อยากทานอาหารตำรับคุณย่าคุณพริว ให้ไปที่ร้าน “อย่างเก่าก่อน” ที่พหลโยธิน 14 ซึ่งเป็นร้านของลูกพี่ลูกน้องคุณพริวนั่นเอง)

“ได้มาทำอาหารจริง ๆ ช่วงไปเรียนต่างประเทศ พวกเพื่อน ๆ รูมเมทมันกินอาหารอะไรที่แบบ แย่อ่ะ ฮ่าๆ เราก็เลยเป็นคนทำอาหารให้เพื่อน ๆ ตอนที่เรียนด้วย แล้วคือในยุคนั้นมันไม่ค่อยมีร้านอะไรดี ๆ นะ โดยเฉพาะร้านอาหารเอเชีย ถ้าไม่อยู่ในเมืองใหญ่จริง ๆ หากินยาก”

คุณพริวเรียนต่อด้านการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ที่อเมริกา ในช่วงปลายยุค 90s ในปี 1997 ข่าวร้ายจากทางบ้านก็มาถึง ว่าคุณพ่อประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ผนวกกับวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ทำให้คุณพริวต้องรีบกลับมาช่วยคุณแม่ที่่บ้านและทิ้งการเรียนที่อเมริกาไป

พื้นที่บ้านตรงนี้ สมัยแรก ๆ มันเป็นร้านเหล้าชื่อ Johnny Walker แล้วก็เปลี่ยนเป็นชื่อ Forget Me Not แบบว่าเป็นร้านโบราณ ๆ มีโต๊ะพูลอะไรแบบนั้น ไม่เคยเห็นตอนมันเป็นบ้านคนเลยนะ แล้ววันนึงก็เห็นว่า เฮ้ยมันว่างว่ะ อยู่ใกล้บ้านด้วย รู้จักกันเจ้าของที่ด้วย ช่วงหลังจากกลับมาเราก็เป็นดีเจ ทำงานออกแบบ อะไรไป พอมาเจอตรงนี้ก็เลยตัดสินใจเปิดร้านเลย”

“ที่ชื่อปลาดิบ มันเป็นชื่อกลุ่มเพื่อนที่เป็นนักออกแบบเหมือนกันในช่วงนั้น แบบ Raw Fish อ่ะ มันเป็นอะไรที่มันเรียบง่าย เหมือนจะทำง่าย แต่จริง ๆ มันยากและต้องวัดฝีมือและวัตถุดิบมาก ๆ ก็เลยเอามาตั้งเป็นชื่อร้านภาษาไทยว่า ปลาดิบ เราไม่ได้โปรโมทอะไรเลย ป้ายหน้าร้านยังไม่มีเลย บางทีเราก็เอาชอล์คไปเขียนชื่อร้านตรงป้ายบ้านเลขที่บ้าง แค่นั้น”

ร้านปลาดิบ ไม่ได้เปิดตัวตูมตาม คนแห่มาถ่ายรูปแชร์ลงโซเชียลมีเดียแบบสมัยนี้ คุณพริวเล่าให้ฟังว่า ร้านในช่วงปีแรก ๆ ก็ “พอไปได้” ในแง่ที่ว่า มันเป็นที่แฮงค์เอ้าท์ของชาวอารีย์ ถ้าอยากจะกินอะไรที่พิเศษหน่อย จะได้ไม่ต้องไปไกลถึงสุขุมวิท ทองหล่อ มันเลยกลายเป็นจุดชุมนุมของคนที่รู้จักกันอยู่แล้ว และมารู้จักกันที่ร้าน และบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ พอเก็บเงินได้ส่วนหนึ่ง ก็เริ่มตกแต่ง ขยายส่วนนั้น ซ่อมส่วนนี้ ไปเรื่อย ๆ รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ไม้ชิ้นงามทั้งหมดในร้านนี้ คือฝีมือการออกแบบและผลิตโดยคุณพริวเอง

“เราเป็นร้านของคอมมิวนิตี้ ก็อยากทำอะไรให้คอมมิวนิตี้นะ อย่างเห็นดงกล้วยข้างหลังไหม แต่ก่อนนี้ มันเคยเป็นป่ารก ๆ แล้วก็มีคนเอาขยะไปเททิ้งกัน มันไม่มีการดูแล โจรขึ้นบ้านกันทั้งแถบเลย บ้างทีโจรก็มากบดานอยุ่ในป่านี้บ้าง เราก็เลยลงทุนเช่าพื้นที่ตรงหลังร้านมาดูแลเอง ทำเป็นกรีนเฮาส์ อะไรต่าง ๆ อยู่ช่วงนึง คนแถวนี้เขาก็ชอบนะ มาช่วยดูแลรดน้ำให้ด้วย แต่มันก็ต้องเช่านะ หลัง ๆ มาบอกว่าจะขึ้นราคา ผมบอกคุณจะบ้าเหรอ”

อย่างไรก็ดี 20 ปีผ่านไป ร้านนี้ผ่านช่วงวัยของการเป็นร้านกลางคืนสุดฮิป แหล่งพักพิงของผู้ตระเวณราตรี มาสู่ยุคปัจจุบัน ยุคที่อารีย์ขึ้นชื่อเรื่องความไฮโซ เต็มไปด้วยคู่แข่งมากมาย การรักษาคุณภาพของอาหาร อาจไม่เพียงพอ เมื่อสถานภาพร้านแห่งเดียวในอารีย์ถูกช่วงชิงไปโดยร้านอาหารของผู้ลงทุนรายใหญ่ ที่มีการออกแบบทางพานิชย์มาอย่างดีแล้ว

“หลังๆ ก็มีรู้สึกผิดหวังกับอารีย์บ้างเหมือนกันนะ พอเราเริ่มต้นว่าย่านเราแตกต่าง ซอยอารีย์มันเป็นของมันแบบนี้ มันไม่ใช่สุขุมวิท ไม่ใช่ทองหล่อ คนเขามาที่นี่ก็เพราะว่ามันมีความบ้าน ๆ ไม่เหมือนใคร และคนส่วนใหญ่รู้จักกัน แต่ตอนนี้เข้าซอยนี้มามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับทองหล่อแล้วอ่ะ เราก็พยายามมาหลายครั้งเหมือนกันนะ เรื่องคอมมิวนิตี้ กิจกรรมอะไร แต่มันก็ยังไม่สำเร็จซักที และที่ดินมันแพง คนซื้อที่บ้านเก่ามาทำอย่างอื่นไม่ได้อ่ะ ก็ต้องหวังผลกำไรอย่างเดียว”

เสียงจากคุณพริว หนึ่งในเจ้าของกิจการและผู้อยู่อาศัยซอยในอารีย์สัมพันธ์ ที่มักมีส่วนร่วมในการร่วมออกเสียงทุกครั้งเมื่อมีการนัดประชุมเกี่ยวกับผลกระทบทางชุมชนเมื่อมีสิ่งก่อสร้างใหม่ขึ้นในอารีย์ จนในบางครั้งชาวบ้านหลายคนฝากฝังให้เขาเป็นตัวแทนเสียงให้ด้วย ในอีกฝั่งหนึ่ง เพื่อนบ้านอารีย์ก็สามารถยืนยันได้เลยประสบการณ์การพูดคุยกับ ฝั่งนักอสังหาริมทรัพย์ ว่าชาวอารีย์นั้นหวงแหนและเอาใจใส่ด้านความเป็นอยุ่ของพวกเขาเป็นอย่างดี ไม่ต้องพูดถึงโครงการทีอยู่อาศัยหลายโครงการในที่แห่งนี้ ที่อยู่ในสถานะ “ยังไงก็ไม่ผ่าน” มาหลายปี

อารีย์กำลังสูญเสียอัตลักษณ์ความเป็นกลุ่มบ้านหลังใหญ่อันเงียบสงบ หรือ ลูกค้าร้านปลาดิบกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่อีกเจเนอเรชั่นหนึ่ง อาจยังไม่คุ้นเคยเติบโตมากับอาหารของทางร้าน อาจจะเป็นบทเรียนอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่าง

แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ร้านนึ้ต้องปิดตัวลง ปลายเดือนธันวาคม 2022 นี่เอง ที่คุณพริวได้รับข่าวจากเจ้าของว่า ได้ขายบ้านหลังนี้ให้กับนักลงทุนไปแล้ว และเขามีเวลาไม่กี่เดือนที่จะปิดกิจการ บ้านหลังนี้เป็นที่ดินของตระกูล เจ้าของที่อายุเยอะ ๆ กันหมดแล้ว และถูกเปลี่ยนมือให้กับรุ่นลูกรุ่นหลาน บ้านหลังนี้จึงถูกขายเพื่อทำคอนโดต่อไป

“ตอนนี้ผมอายุเยอะแล้ว ไม่ได้มีกำลังมากเหมือนก่อน หลังจากนี้ก็คงไม่ทำอะไรใหญ่โต แต่ก็คงเป็นเรื่องอาหารที่ชอบเหมือนเดิมครับ”

กิจการใหม่ภายใต้เจ้าของปลาดิบ นั้นเราพอจะบอกได้ว่าจะเป็นร้านข้าวมันไก่ชื่อว่า เล้า เร็ว ๆ นี้ เราจะได้เห็นร้านเล็ก ๆ ในระยะไม่ไกลจากอดีตร้านปลาดิบแห่งนี้มากนัก และเชื่อเลยว่า ความอร่อย และบรรยากาศสนุก จะยังคงมีให้กับชาวอารีย์และผู้ผ่านไปมาเหมือนเดิมอย่างแน่นอน

ผมได้รับคำชวนจากเพื่อนบ้านอารีย์ให้มาทำความรู้จักและนั่งคุยกับเจ้าของร้านขายเทปคาสเซ็ทที่มีชื่อง่าย ๆ ว่า “ ร้านเทป ” หรือ “Cassette Shop” ย่าน ประดิพัทธ์ คนชวนถึงกับออกปากว่า “มาแล้วจะต้องชอบ” มีหรือจะปฏิเสธ

จากประดิพัทธ์ซอย 19 เดินเข้ามาสัก 200 เมตร ผ่านบ้านที่เป็นร้านขายแผ่นเสียงร้านดังของย่านประดิพัทธ์ ที่ตั้งชื่อง่าย ๆ พอกันว่า “ร้านแผ่นเสียง” ทางซ้ายมืออีกเช่นกัน เราจะเห็นอาคารชุดสไตล์วินเทจดูน่าหลงไหล ซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ เดินเข้าไปที่ห้องชุดที่สอง มองขึ้นไปที่ระเบียง ไม่มีป้ายร้านจากด้านนอก ถ้าเห็นศิลปะและของสะสมนานับสิ่งของเจ้าของร้านติดอยู่บนผนังแสดงว่าคุณมาถึงแล้ว

จำข่าวหมูแพงเมื่อต้นปีได้ไหม ตอนนั้นนอกจากหมูก็ทำอย่างอื่น แพง ตามไปด้วย เดินไปทางไหนใน อารีย์ ก็เห็นป้ายราคาตามร้านข้าวมีเทปกาวแปะทับ เขียนราคาใหม่ที่ปรับขึ้นไปกันหมด ตอนนี้ผ่านไปสามเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าหมูหายเป็นโรคหรือยัง แต่ที่แน่ ๆ ราคาที่ขึ้นไป ดูเหมือนจะไม่กลับลงมาแล้ว

พี่จุ๋ม ร้านก๋วยเตี๋ยว อารีย์

แต่ก่อนห้าทุ่มเที่ยงคืนยังมีคนมากินอยู่เลย เดี๋ยวนี้ไม่รู้จะติดแก๊ซอุ่นหม้อไว้ทำไม สี่ทุ่มก็เก็บแล้ว มันไม่มีคน ข้าวของก็แพง ขึ้นทีกำไรเราก็หาย ก็ไม่พอกิน อย่างอื่นก็ขึ้น พักหลังมานี้เอาแต่ขึ้นอย่างเดียวไม่ลงเลย
พี่จุ๋ม ก๋วยเตี๋ยวกลางคืน ปากซอยอารีย์  

คนรายได้ปานกลาง ยังอยู่ อารีย์ ไหวไหม แพง ไปหรือเปล่า?

จากที่เคยถามไถ่เวลาซื้อกับข้าว พ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบต้องปรับขึ้น จะเป็นร้านข้าวแกง ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านข้าวสตรีตฟู้ดข้างทาง ซึ่งเป็นปากท้องของคนชนชั้นกลางรายได้ไม่สูงมาก ที่ยังจะพอจะอดทนสู้กับค่าเช่าห้องย่านนี้ที่มักเริ่มต้นที่ 8,000 บาท ขึ้นรถไฟฟ้า และต้องซื้อข้าวแกงกินทุกวัน ราคาที่สูงขึ้นทำให้ค่าครองชีพที่สูงอยู่แล้ว สูงขึ้นจนกลายเป็นการใช้ชีวิตที่นี่ยิ่งเข้าเนื้อเงินเก็บไปเรื่อย ๆ

ถ้าคุณมีเงินฝากในบัญชีมากกว่า 50,000 บาทตอนนี้ ดีใจด้วยนะ คุณคือคนส่วนน้อยมาก ๆ ในประเทศไทย เมื่อปี 63 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยว่า 86.59% ของบัญชีเงินฝากทั้งหมดของประเทศ มีเงินฝากอยู่ไม่เกิน 50,000 บาท ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แต่ที่น่าแปลกใจคือแทบทุกครั้งที่มีคอนโดใหม่ขึ้นตามเส้นพหลโยธิน มักจะได้ยินว่าโครงการขายหมดเกือบครึ่งภายในวันเดียว สรุปว่าประเทศนี้จะเศรษฐกิจดีหรือไม่ดีกันแน่

มนุษย์ที่มีเงินในบัญชีน้อยกว่า 50,000 บาทก็คือมนุษย์เดินดินที่ต้องขึ้นรถไฟฟ้าแล้วถูกป้ายโฆษณาตามสถานีกดดันว่าชีวิตที่ดีคือชีวิตที่ต้องแย่งชิงคอนโดเล็ก ๆ ราคาแพง ๆ ติดบีทีเอสนั่นแหละ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตใจฝันแบบที่การตลาดสะกดจิตแล้ว แต่ก็ไม่วายต้องทอดถอนใจเวลาเจอราคาก๋วยเตี๋ยวที่แพงขึ้น ราคารถไฟฟ้าที่แพงขึ้นอย่างช้า ๆ และอย่างไม่มีวันกลับ

บ้านเกิดเราอยู่ที่หมู่บ้านพิบูลวัฒนา ที่นี่เป็นต้นแบบของหมู่บ้านจัดสรรของประเทศไทย คนส่วนใหญ่ที่มาซื้อโดยมากจะเป็นข้าราชการทหาร คุณตาเราท่านก็เป็นทหารทำงานอยู่แถวนี้เหมือนกัน เลยซื้อที่ไว้แปลงหนึ่ง
โบ นักวิจัย และเจ้าของเพจ  จารย์ไทยในดงผู้ดี 

อารีย์เป็นผู้ดีมาแต่เก่าก่อน จากการคุยกับเพื่อนบ้านที่เป็นเจ้าของบ้านหลังใหญ่โต (และลูกเจ้าของบ้าน) ที่นี่ มักจะพูดตรงกันว่าที่นี่เป็นย่านอยู่อาศัยที่ต้องการความสงบ คนที่อยู่มาก่อนที่นี่ (ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ นักการเมือง) ไม่ได้มีความกดดันทางการเงินที่จะต้องขายที่ดินที่มูลค่าสูงนี้ไปทำอะไร ราคาที่ดินพหลโยธินซอย 7 จากสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครประเมินไว้ที่ 150,000 บาทต่อตารางวา ถ้าเราอยากมีบ้านที่มีความกว้าง 160 ตรม. เราต้องมีเงิน 6 ล้านบาท และนี่คือราคาประเมิน ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าของที่จะขายให้เราเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่ามนุษย์ 86% ทั่วไปคงไม่คิดจะมาซื้อบ้านแถวนี้

แต่เวลาก็เปลี่ยนแปลงไป บ้านเก่าหลังใหญ่ที่เคยเรียงรายริมเส้นพหลโยธินก็ทยอยกลายเป็นคอนโดกันมากขึ้นเรื่อย ๆ เกิดอะไรขึ้นหลังจากมีอาคารสูงเหล่านี้ขึ้นล่ะ คนเยอะขึ้นแล้วหนึ่ง แต่ที่สำคัญคือ ยิ่งคอนโดแม้แต่ใน อารีย์ แพง เท่าไหร่ คนที่มาอยู่ก็มีรายได้สูงมากขี้นตามไปด้วย ทีนี้แกงถุงอย่างละ 40 บาทจะเปลี่ยนเป็น 80 บาทก็ไม่กระทบกลุ่มนี้สักเท่าไหร่

ย่านอารีย์ขาดอะไร

วันก่อนฉันโพสต์ถามผู้อ่านว่าย่านอารีย์ต้องการอะไร คำตอบส่วนมากคือ สวนสาธารณะ สนามเด็กเล่น ห้องสมุด หรือรวม ๆ ก็คือพื้นที่สาธารณะ อันเป็นสิ่งที่ขาดแคลนในกรุงเทพไม่ว่าย่านไหน

การมีสวนสาธารณะและคุณภาพชีวิตที่ดี นั่นเป็นสิ่งที่ฉันเฝ้าจะเห็นก่อนตายในประเทศนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ตามติดมาพร้อมกับคุณภาพชีวิตที่ดี คือราคาที่ดินที่แพงขึ้น ยิ่งตรงไหน “น่าอยู่” มาก ค่าเช่าแถวนั้นก็จะแพงขึ้นตามเป็นเรื่องปกติ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติของความเจริญเนอะ แต่เราต้องอย่าลืมเช็กว่านั่นคือความต้องการของชนชั้นกลางรายได้สูงหรือเปล่า เราจะทำพื้นที่สาธารณะอย่างไรที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของสาว 28 ทำงานครีเอทีฟโฆษณา กับพี่วินมอเตอร์ไซค์รายได้วันละ 400 บาทสามารถอินกับประโยชน์ของมันได้เท่ากันด้วย

Om, Owner of Hor Hidden Cafe

สิ่งที่อารีย์ขาดแบบเห็น ๆ เลยคือกิจกรรม มันไม่มีอะไรทำ คนส่วนใหญ่มาอารีย์ มากินข้าว กินกาแฟ มาถ่ายรูป เสร็จแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ…
คุณออม เจ้าของร้าน Hor Hidden Cafe

เพราะปัญหา Gentrification ไม่ใช่แค่เมืองเจริญขึ้น ของใหม่มาของเก่าไป แต่มันคือการทำให้พื้นที่หนึ่งแพงเกินไป จนคนอีกกลุ่มหนึ่งสู้ราคาไม่ไหวต้องย้ายออก ถ้าผู้ว่าฯ หรือหน่วยงานรัฐใด ๆ ที่มีประสิทธิภาพมีอยู่จริง เราก็ขอความหวังจะได้เห็นการแทรกแซง โครงการช่วยเหลือทำอย่างไรให้คนเท่าเทียมกัน แบบที่เห็นในประเทศอื่นเขาบ้างเถอะ

ตะวันคล้ายจะเลยคล้อยขอบฟ้าไปแล้ว ฉันบึ่งจากการสัมภาษณ์ร้านซ่อมรองเท้าที่แฟลตพิบูลวัฒนา มาที่อารีย์ซอย 2 วันนี้ฉันนัดกับเจ้าของรถเข็นขายปลาหมึกย่าง ที่มีหน้าตาโดดเด่นไปจากรถเข็นทั่วไป มองผ่าน ๆ คล้ายรถเข็นไม้ ขายบะหมี่แบบญี่ปุ่นโบราณ ตั้งแต่มันมาตั้งอยู่ตรงเวิ้งลานจอดรถนี้ ใครต่อใครก็ต่างพากันถ่ายรูปเมื่อเดินผ่าน มันคือเจ้าของเดียวกันกับ Summer Street ร้านปิ้งย่างดังของอารีย์

หากผู้อ่านท่านไหนที่ยังไม่รู้ สัตว์ประจำถิ่นของ อารีย์ คือสุนัขพันธ์ุไทย ชื่อว่าเจ้า เบี้ยว เป็น หมา ที่ใครก็รู้จักแบบเดียวกับที่ มช. มีเจ้าเตี้ยเลยแหละ สำหรับเจ้าเบี้ยวแล้ว นอกจากจะเป็นอุปนิสัยทะเล้นน่าเอ็นดูแล้ว จุดเด่นของมันคือขากรรไกรด้านล่างที่หัก ทำให้เบี้ยวอ้าปากแลบลิ้นตลอดเวลาเดินไปไหนมาไหน จนคนส่วนใหญ่มักจะจำได้ทันที มีชื่อเสียงถึงขนาดที่ว่าเจ้าของร้าน Pladib เปิดอินสตาแกรมให้ด้วย และมีจิตรกรรมฝาผนังข้างร้าน Silo Ari เป็นรูปตัวเอง แถมมีสารคดีสั้นของตัวเองอีกต่างหาก

นิสัยใจคอของเบี้ยว

เบี้ยว เป็น หมา เพศผู้ ตากลมโต นิสัยน่ารักตามประสาหมาธรรมดาตัวหนึ่ง กิจกรรมสุดโปรดของมันคือการนั่งหน้าประตูเซเว่น บางครั้งก็จะหันมองซ้ายขวาดูคนผ่านไปมาบนถนน เบี้ยวไม่ใช่หมาตะกละตะกลาม น้องจะกินอาหารที่ชาวบ้านตั้งให้เป็นจุด ๆ อย่าคิดว่าซื้ออะไรเหลือ ๆ แล้วจะโยนให้เบี้ยวกินเป็นอันขาด ป้าตุ๊ก ช่างตัดเสื้อร้านชิพ & ชิพ บูติค (Cheap & Cheap Boutique) เล่าว่าตอนนี้เบี้ยวมันแก่แล้ว สมัยตอนยังเป็นหนุ่มมักมีพฤติกรรมเอาหน้าเข้าไปใต้กระโปรงผู้หญิง สร้างความแตกตื่นโกลาหลและโห่แซวของวินมอเตอร์ไซค์ผู้พบเห็น

เบี้ยวเป็นใครมาจากไหน

จากคำให้การของคุณป้าตุ๊ก ร้านตัดเสื้อชิพชิพ ซอยศาสนา ผู้ที่ได้ชื่อว่าใกล้ชิดกับเบี้ยวที่สุด เพราะมันคือสุนัขของสามีผู้ล่วงลับของป้านั่นเอง ป้าเล่าให้ฟังว่าสามีแกเป็นคนรักสัตว์ ชอบให้อาหารสัตว์ ทำให้หมาหลายตัวก็มักจะตามเขามาด้วย 10 กว่าปีที่แล้ว สามีของป้าไปพบเบี้ยวเป็นหมาหลง ออกไปไกลถึงแถวสถานีรถไฟสามเสน ให้ข้าวให้ปลามันกินตามประสา แล้วมันก็เดินตามเขามาถึงซอยอารีย์สัมพันธ์ หลังจากนั้นจะมีคนบริเวณอารีย์สัมพันธ์พบเห็นเบี้ยวเดินไปมาอยู่บ่อย ๆ เหมือนกับว่าตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่แถวนี้

เบี้ยว หมา อารีย์
เจ้าเบี้ยว สิ่งมีชีวิตที่มีชื่อเสียงที่สุดในอารีย์ ภาพจากอินตาแกรม @misterbiew

บ่ายวันฝนตกวันหนึ่ง ป้าตุ๊กเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนที่ยังไม่ได้สนิทชิดเชื้อกัน เบี้ยวมันมาหลบฝนที่ชายคาร้านชิพชิพ (ปัจจุบันเป็นร้าน Kimchi Hour) ฝนตกหนักป้าก็เปิดประตูบ้าน เรียกว่า “เบี้ยวเข้ามาไหม ๆ” มันก็ทำท่าเหมือนจะไม่ได้ยิน แต่หันมาอีกทีก็ขยับเข้ามาใกล้ประตูบ้านเรื่อย ๆ จนสุดท้ายเข้ามานอนในบ้าน ป้าเล่าว่าอยู่กับมัน บางทีอาบน้ำคนก็อาบน้ำหมาไปพร้อมกันด้วยเลย

ทำไม เบี้ยว ถึงปากเบี้ยว

วันหนึ่งหลังจากที่เบี้ยวเริ่มมาอยู่กับคุณป้าและสามีมากขึ้น มีรถมอเตอร์ไซค์มาจอดบอกป้าว่า “เนี่ยหมาผมเอง” ป้าจึงเริ่มซักไซ้ว่ามันกลายไปเป็นหมาหลงไปไกลถึงสามเสนได้ยังไง จนได้ความว่า เบี้ยวเป็นหมาบ้านทหารในซอยพิบูลย์วัฒนา เลี้ยงคู่กันกับหมาที่หน้าตาเหมือนกัน อายุเท่ากัน ชื่อว่า “โด” วันหนึ่งเหมือนมันไปกัดไก่ชนราคาตัวเป็นแสนที่เขาเลี้ยงไว้ เจ้าของเห็นเข้าก็เลยตีมันจนขากรรไกรหัก หลังจากนั้นเบี้ยวก็หนีออกจากบ้าน กลายเป็น หมาจรจัดไปเป็นเดือน

พี่เจ้าของเดิมมาเจอมันเข้าก็พามันไปรักษาที่โรงพยาบาล หมดสตางค์ไปมากมายมันถึงจะหายเจ็บ แต่ก็ไม่สามารถรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ เอาตัวกลับบ้านก็หนีออกไปอีก กลายเป็นหมาเร่ร่อนจนสามีของป้าตุ๊กมาเจอ มันเลยตามกลับมาอารีย์สัมพันธ์อีกครั้ง

เบี้ยว หมา อารีย์

เจอ เบี้ยว ได้ที่ไหนบ้าง

เส้นทางการเดินของน้อง จะอยู่ระหว่าง อารีย์ ซอยหนึ่ง ตรงไปสุดซอย เลี้ยวไปซอยอารีย์สัมพันธ์ 7-12 เจ้าของบ้านอารีย์สัมพันธ์บางหลังจะตั้งอาหารไว้ให้มันกินบ้าง จะได้เห็นหน้าบ่อย ๆ ตามประตูเซเว่นที่อยู่บนเส้นทางนี้ อีกที่หนึ่งคือร้าน Pladib ที่เบี้ยวสนิทชิดเชื้อกับเจ้าของร้าน นอกจากนี้เรายังเข้าดูภาพของเบี้ยวได้ที่อินสตาแกรม MisterBiew ด้วยนะ

ห้าโมงเย็นวันนี้ ที่อารีย์ฝนไม่ตก ฉันอยู่ที่อารีย์ซอย 1 ที่บ้านหลังเก่าติดกับโรงเรียนสวนบัว บ้านหลังนี้เป็นที่ชาวอารีย์จะรู้จักในฐานะร้าน Landhaus ร้านเบเกอรีสไตล์เยอรมันแท้ ๆ ที่มาเช่าพื้นที่ทำร้านจนมีชื่อเสียงได้หลายปี สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ คือชั้นสองของบ้านหลังนี้ เป็นพื้นที่ขนาดเท่าห้องนอนห้องหนึ่ง ที่ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นโชว์รูม เสื้อผ้า และของใช้เล็ก ๆ ของ BDS Collective แบรนด์สินค้า ยั่งยืน มีราวแขวนผ้าไม่กี่ราว และถ้วยชาม ช้อนส้อม ที่ทำจากไม้วางเรียงราย โต๊ะทำงานหนึ่งโต๊ะที่ดูแสนธรรมดาตั้งอยู่

คิด ๆ ดูแล้วย่านอารีย์ก็มีอาหารให้เลือกเกือบจะครบหมดทุกสัญชาติ ไม่ว่าจะร้านซูชิระดับตำนานอย่าง Sousaku ร้านอาหารเกาหลีก็มีทั้ง Joha และ Anneyeong มีเบเกอรีสไตล์เยอรมันแท้ ๆ อย่าง Landhaus หรือจะนั่งกินอาหารอิตาเลียนก็หนีไม่พ้น Cantina ไปจนถึงร้านข้าวห่อสาหร่ายจากไต้หวันอย่าง Fantuan ก็มาเปิด แล้ว อาหารอังกฤษ จากประเทศที่ไม่ค่อยเด่นด้านอาหารล่ะ ? เราก็มีที่ Cakes & Craft นะ

ปากทางอารีย์ซอย 2 ถือว่าเป็นเวิ้งอาคารพาณิชย์ที่ธุรกิจรายย่อยเติบโตสวยงามอย่าบอกใคร เป็นที่ตั้งของคาเฟ่บอร์ดเกมส์ขนาด 5 ชั้นอย่าง Dice ร้านครัวซองต์เลื่องชื่อ Kenn’s Coffee and Croissant มีร้านอาหารเกาหลีและญี่ปุ่นห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว ยังไม่รวมอดีตที่พื้นที่ตรงนี้เป็นที่ตั้งของ Tokyo Bike ร้านจักรยานสุดเท่ เป็นตัวบ่งบอกว่าอารีย์คือย่านแห่งฮิปแซงซอยไหน ๆ

นึกถึงเรื่องลี้ลับนี้หลังจากเห็นข่าวว่าบีทีเอสจะหยุดขายตั๋วแบบรอบ เหลือแค่ตั๋วเติมเงินเท่านั้น ทำให้ค่าเดินทางของกรุงเทพฯ ที่สูงอยู่แล้วกลายเป็นสูงกว่าเมืองดี ๆ อย่างสิงคโปร์และฮ่องกง กลายเป็นเมืองที่ค่ารถไฟฟ้าแพงที่สุดในโลก ความลี้ลับนี้ว่าด้วยสถานีล่องหน ที่แม้จะไม่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่สามารถทะลุทะลวงมิติออกมาเก็บค่าผ่านทางผู้โดยสารได้ด้วย

7 โมงเช้า ความสำเร็จแรกของวันคือการขุดร่างออกจากเตียงมายืนรอคุณบาสที่หน้ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติได้สำเร็จ ยังไม่แน่ใจว่า การเดินสำรวจ ธรรมชาติ ในย่านอารีย์นั้นจะเกิดขึ้นและจบลงอย่างไร คุณบาสคือใคร จะเป็นคนอย่างไร คนประเภทไหนกันที่จะออกปากชวนคนแปลกหน้าไปเดินสำรวจความหลากหลายทางธรรมชาติตอน 7 โมงเช้า