ข่าวการปิดตัวของร้านอาหารที่อยู่คู่อารีย์สัมพันธ์อย่าง Pla Dib มาถึงหูพวกเราอย่างสายฟ้าแลบ และ ถูกส่งต่อ ๆ กันปากต่อปากอย่างรวดเร็ว “หา! ปิดแล้วเหรอ” “ใช่ เขาจะสร้างคอนโดน่ะ” “แล้วพี่เขาจะไปทำอะไรต่อ” บทสทนาแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในระยะเวลาไม่นาน จนทำให้เพื่อนบ้านอารีย์ต้องติดต่อ “คุณพริว” เจ้าของร้านปลาดิบ เพื่อหาถ้อยแถลงเกี่ยวกับปิดตัวลงของร้านอาหารแห่งนี้หลังจากยืนหยัดอยู่เกิน 20 ปีมาให้ได้
เมื่อคิดดูแล้ว เราไม่เคยมีโอกาสได้ขอสัมภาษณ์ใครจากร้านนี้มาก่อนเลย ทั้งที่เป็นร้านดังร้านหนึ่งของย่าน เสียใจที่ต้องบอกกับตัวเองว่า หากไม่ได้ติดต่อไปครั้งนี้ ก็คงจะได้พูดถึงกันในฐานะอดีตเสียแล้ว วันนี้เราจึงอยากจะถ่ายทอดเรื่องราว แรงบันดาลใจ และก้าวต่อไปของคุณพริวเจ้าของร้าน มาเล่าสู่กันฟัง
ร้านปลาดิบ (Pla Dib) เป็นร้านอาหารแนวเอเชี่ยนฟิวชั่นฟู้ด ตั้งอยู่ ณ บ้านเก่าหลังหนึ่งที่อยู่ตรงปากทางเข้ากรมประชาสัมพันธ์ เป็นแหล่งแฮงค์เอ้าท์ในตอนกลางคืน กับอาหารแต่ละเมนูที่ถูกคิดค้นขึ้นมาอย่างดี และคัดสรรวัตถุดิบมาอย่างตั้งใจ และไม่ต้องแปลกใจ ถ้ามานั่งทานอาหารที่นี่แล้วได้กระทบไหล่ดาราดัง นักการเมือง และบุคคลจากวงการสร้างสรรค์มากมาย
“เปิดมา 20 กว่าปีแล้วนะ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากอ่ะ เป็นคนชอบทำอาหารมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้วด้วย บ้านอยู่แถวนี้ ก็อยากให้มีร้านแถว ๆ บ้านบ้าง จะได้ไม่ต้องไปถึงทองหล่อตลอด สมัยก่อน (ปี 2000) แถวนี้ไม่มีอะไรเลย กรมประชาสัมพันธ์ก็ไม่มีนะ ตรงข้ามร้านนี่ก็มีกั้นสังกะสีไว้ เดินเข้าไปก็เป็นเสาส่งสัญญาณ ผมเข้าไปปั่นจักรยานเล่นกับเพื่อนประจำ จะมีอยู่ร้านนึงที่เก่าและอยู่มานานจริง คือร้านสวนกุหลาบ ที่ย้ายมาจากสโมสรทหารบก”
อารีย์ในยุคนั้น ไม่มีร้านอาหารให้เลือกมากมาย ไม่มีคอนโด สิ่งเดียวที่อู่ฟู่ที่สุดคือบ้านหลังใหญ่ของนายทหารและนักการเมืองที่เรียงรายกัน เด็กแต่ละบ้านจะรู้จักกัน และออกมาเล่นกันเป็นประจำ ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณพริวเอง ก็มาจากตระกูลข้าราชการที่มีเอี่ยวในการเมืองอยู่ไม่น้อย แต่ก็ถือเป็นเรื่องปกติของคนแถวนี้
“คุณพ่อเป็นคนชอบทำอาหาร และชอบชิมอาหารครับ ผมก็เลยมีโอกาสได้ไปร้านอาหารที่หากินยาก ๆ ต่าง ๆ สมัยก่อนอาหารฝรั่งเศส อิตาเลี่ยน นี่มีอยู่ไม่กี่ที่ครับ ต้องไปกินถึงในโรงแรมเลย ส่วนคุณย่าผมแกเคยเป็นคนสนิทและดูแลเรื่องอาหารในวังของเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ ที่สุขุมวิท ครอบครัวเราเลยได้รับการถ่ายทอดสูตรอาหารจากคุณย่า รวมถึงความชื่นชอบด้วย”
(ใครที่อยากทานอาหารตำรับคุณย่าคุณพริว ให้ไปที่ร้าน “อย่างเก่าก่อน” ที่พหลโยธิน 14 ซึ่งเป็นร้านของลูกพี่ลูกน้องคุณพริวนั่นเอง)
“ได้มาทำอาหารจริง ๆ ช่วงไปเรียนต่างประเทศ พวกเพื่อน ๆ รูมเมทมันกินอาหารอะไรที่แบบ แย่อ่ะ ฮ่าๆ เราก็เลยเป็นคนทำอาหารให้เพื่อน ๆ ตอนที่เรียนด้วย แล้วคือในยุคนั้นมันไม่ค่อยมีร้านอะไรดี ๆ นะ โดยเฉพาะร้านอาหารเอเชีย ถ้าไม่อยู่ในเมืองใหญ่จริง ๆ หากินยาก”
คุณพริวเรียนต่อด้านการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ที่อเมริกา ในช่วงปลายยุค 90s ในปี 1997 ข่าวร้ายจากทางบ้านก็มาถึง ว่าคุณพ่อประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ผนวกกับวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ทำให้คุณพริวต้องรีบกลับมาช่วยคุณแม่ที่่บ้านและทิ้งการเรียนที่อเมริกาไป
พื้นที่บ้านตรงนี้ สมัยแรก ๆ มันเป็นร้านเหล้าชื่อ Johnny Walker แล้วก็เปลี่ยนเป็นชื่อ Forget Me Not แบบว่าเป็นร้านโบราณ ๆ มีโต๊ะพูลอะไรแบบนั้น ไม่เคยเห็นตอนมันเป็นบ้านคนเลยนะ แล้ววันนึงก็เห็นว่า เฮ้ยมันว่างว่ะ อยู่ใกล้บ้านด้วย รู้จักกันเจ้าของที่ด้วย ช่วงหลังจากกลับมาเราก็เป็นดีเจ ทำงานออกแบบ อะไรไป พอมาเจอตรงนี้ก็เลยตัดสินใจเปิดร้านเลย”
“ที่ชื่อปลาดิบ มันเป็นชื่อกลุ่มเพื่อนที่เป็นนักออกแบบเหมือนกันในช่วงนั้น แบบ Raw Fish อ่ะ มันเป็นอะไรที่มันเรียบง่าย เหมือนจะทำง่าย แต่จริง ๆ มันยากและต้องวัดฝีมือและวัตถุดิบมาก ๆ ก็เลยเอามาตั้งเป็นชื่อร้านภาษาไทยว่า ปลาดิบ เราไม่ได้โปรโมทอะไรเลย ป้ายหน้าร้านยังไม่มีเลย บางทีเราก็เอาชอล์คไปเขียนชื่อร้านตรงป้ายบ้านเลขที่บ้าง แค่นั้น”
ร้านปลาดิบ ไม่ได้เปิดตัวตูมตาม คนแห่มาถ่ายรูปแชร์ลงโซเชียลมีเดียแบบสมัยนี้ คุณพริวเล่าให้ฟังว่า ร้านในช่วงปีแรก ๆ ก็ “พอไปได้” ในแง่ที่ว่า มันเป็นที่แฮงค์เอ้าท์ของชาวอารีย์ ถ้าอยากจะกินอะไรที่พิเศษหน่อย จะได้ไม่ต้องไปไกลถึงสุขุมวิท ทองหล่อ มันเลยกลายเป็นจุดชุมนุมของคนที่รู้จักกันอยู่แล้ว และมารู้จักกันที่ร้าน และบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ พอเก็บเงินได้ส่วนหนึ่ง ก็เริ่มตกแต่ง ขยายส่วนนั้น ซ่อมส่วนนี้ ไปเรื่อย ๆ รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ไม้ชิ้นงามทั้งหมดในร้านนี้ คือฝีมือการออกแบบและผลิตโดยคุณพริวเอง
“เราเป็นร้านของคอมมิวนิตี้ ก็อยากทำอะไรให้คอมมิวนิตี้นะ อย่างเห็นดงกล้วยข้างหลังไหม แต่ก่อนนี้ มันเคยเป็นป่ารก ๆ แล้วก็มีคนเอาขยะไปเททิ้งกัน มันไม่มีการดูแล โจรขึ้นบ้านกันทั้งแถบเลย บ้างทีโจรก็มากบดานอยุ่ในป่านี้บ้าง เราก็เลยลงทุนเช่าพื้นที่ตรงหลังร้านมาดูแลเอง ทำเป็นกรีนเฮาส์ อะไรต่าง ๆ อยู่ช่วงนึง คนแถวนี้เขาก็ชอบนะ มาช่วยดูแลรดน้ำให้ด้วย แต่มันก็ต้องเช่านะ หลัง ๆ มาบอกว่าจะขึ้นราคา ผมบอกคุณจะบ้าเหรอ”
อย่างไรก็ดี 20 ปีผ่านไป ร้านนี้ผ่านช่วงวัยของการเป็นร้านกลางคืนสุดฮิป แหล่งพักพิงของผู้ตระเวณราตรี มาสู่ยุคปัจจุบัน ยุคที่อารีย์ขึ้นชื่อเรื่องความไฮโซ เต็มไปด้วยคู่แข่งมากมาย การรักษาคุณภาพของอาหาร อาจไม่เพียงพอ เมื่อสถานภาพร้านแห่งเดียวในอารีย์ถูกช่วงชิงไปโดยร้านอาหารของผู้ลงทุนรายใหญ่ ที่มีการออกแบบทางพานิชย์มาอย่างดีแล้ว
“หลังๆ ก็มีรู้สึกผิดหวังกับอารีย์บ้างเหมือนกันนะ พอเราเริ่มต้นว่าย่านเราแตกต่าง ซอยอารีย์มันเป็นของมันแบบนี้ มันไม่ใช่สุขุมวิท ไม่ใช่ทองหล่อ คนเขามาที่นี่ก็เพราะว่ามันมีความบ้าน ๆ ไม่เหมือนใคร และคนส่วนใหญ่รู้จักกัน แต่ตอนนี้เข้าซอยนี้มามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับทองหล่อแล้วอ่ะ เราก็พยายามมาหลายครั้งเหมือนกันนะ เรื่องคอมมิวนิตี้ กิจกรรมอะไร แต่มันก็ยังไม่สำเร็จซักที และที่ดินมันแพง คนซื้อที่บ้านเก่ามาทำอย่างอื่นไม่ได้อ่ะ ก็ต้องหวังผลกำไรอย่างเดียว”
เสียงจากคุณพริว หนึ่งในเจ้าของกิจการและผู้อยู่อาศัยซอยในอารีย์สัมพันธ์ ที่มักมีส่วนร่วมในการร่วมออกเสียงทุกครั้งเมื่อมีการนัดประชุมเกี่ยวกับผลกระทบทางชุมชนเมื่อมีสิ่งก่อสร้างใหม่ขึ้นในอารีย์ จนในบางครั้งชาวบ้านหลายคนฝากฝังให้เขาเป็นตัวแทนเสียงให้ด้วย ในอีกฝั่งหนึ่ง เพื่อนบ้านอารีย์ก็สามารถยืนยันได้เลยประสบการณ์การพูดคุยกับ ฝั่งนักอสังหาริมทรัพย์ ว่าชาวอารีย์นั้นหวงแหนและเอาใจใส่ด้านความเป็นอยุ่ของพวกเขาเป็นอย่างดี ไม่ต้องพูดถึงโครงการทีอยู่อาศัยหลายโครงการในที่แห่งนี้ ที่อยู่ในสถานะ “ยังไงก็ไม่ผ่าน” มาหลายปี
อารีย์กำลังสูญเสียอัตลักษณ์ความเป็นกลุ่มบ้านหลังใหญ่อันเงียบสงบ หรือ ลูกค้าร้านปลาดิบกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่อีกเจเนอเรชั่นหนึ่ง อาจยังไม่คุ้นเคยเติบโตมากับอาหารของทางร้าน อาจจะเป็นบทเรียนอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่าง
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ร้านนึ้ต้องปิดตัวลง ปลายเดือนธันวาคม 2022 นี่เอง ที่คุณพริวได้รับข่าวจากเจ้าของว่า ได้ขายบ้านหลังนี้ให้กับนักลงทุนไปแล้ว และเขามีเวลาไม่กี่เดือนที่จะปิดกิจการ บ้านหลังนี้เป็นที่ดินของตระกูล เจ้าของที่อายุเยอะ ๆ กันหมดแล้ว และถูกเปลี่ยนมือให้กับรุ่นลูกรุ่นหลาน บ้านหลังนี้จึงถูกขายเพื่อทำคอนโดต่อไป
“ตอนนี้ผมอายุเยอะแล้ว ไม่ได้มีกำลังมากเหมือนก่อน หลังจากนี้ก็คงไม่ทำอะไรใหญ่โต แต่ก็คงเป็นเรื่องอาหารที่ชอบเหมือนเดิมครับ”
กิจการใหม่ภายใต้เจ้าของปลาดิบ นั้นเราพอจะบอกได้ว่าจะเป็นร้านข้าวมันไก่ชื่อว่า เล้า เร็ว ๆ นี้ เราจะได้เห็นร้านเล็ก ๆ ในระยะไม่ไกลจากอดีตร้านปลาดิบแห่งนี้มากนัก และเชื่อเลยว่า ความอร่อย และบรรยากาศสนุก จะยังคงมีให้กับชาวอารีย์และผู้ผ่านไปมาเหมือนเดิมอย่างแน่นอน