7 โมงเช้า ความสำเร็จแรกของวันคือการขุดร่างออกจากเตียงมายืนรอคุณบาสที่หน้ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติได้สำเร็จ ยังไม่แน่ใจว่า การเดินสำรวจ ธรรมชาติ ในย่านอารีย์นั้นจะเกิดขึ้นและจบลงอย่างไร คุณบาสคือใคร จะเป็นคนอย่างไร คนประเภทไหนกันที่จะออกปากชวนคนแปลกหน้าไปเดินสำรวจความหลากหลายทางธรรมชาติตอน 7 โมงเช้า
การเดินสำรวจเกิดขึ้นแทบในทันทีที่เราเจอกัน ก้าวแรกเริ่มนับเมื่อคุณบาสกวาดมือไปบนใบบนต้นไม้ข้างทาง “ดมสิ นี่คือ “สนกันยุง” ฉันไม่ทันได้ถามต่อว่าสนนี่กันยุงได้จริงไหม เพราะบาสก็พูดต่อทันทีว่า “เราจะมาเดินแบบ Serious Play นะ เล่นแบบจริงจัง เหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง”
Serious Play เล่นแบบจริงจัง
Serious play ในความหมายของฉันคือวันที่ฝนตกพื้นเลนกลายเป็นหนองน้ำ ฉันย่ำเท้าเปล่า ๆ ลงบนน้ำ จ้องลึกลงไปเหมือนกับเท้าของเราคือเท้ายักษ์ในมหาสมุทร — Serious play ครั้งนี้ทำให้ฉันจูนติดต่อกับคุณบาสแทบจะได้ในทันทีว่าเขาทำอะไรอยู่ แตกต่างกันเพียงว่า ชายคนนี้กำลังเก็บข้อมูลจริง ๆ เกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัว แม้ว่าจะต้องใช้จินตนาการและความอยากรู้อยากเห็นในระดับเด็กชายวัย 5 ขวบ ร่วมด้วย
ที่พอจะบอกได้ว่าเขามาเก็บข้อมูลจริง ๆ ก็เพราะยังสบตากันได้ไม่กี่ครั้ง เขาก็เริ่มถ่ายรูป “แมลงวันดอกไม้” ที่กำลังตอมเกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย อย่างละเอียด มีกล้องส่องทางไกลคุณภาพดีแบบที่ฉันไม่เคยใช้มาก่อน ฉันต้องปรับตัวเองให้ตื่นตาตื่นใจในสิ่งเดียวกับเขาให้ทัน เพราะขณะนั้นฉันไม่เคยเห็นใครที่สนใจต้นไม้ใบหญ้าข้างทางขนาดนี้มาก่อน
พวกเราเลี้ยวเข้าไปที่สวนสาธารณะหลังกรมประชาสัมพันธ์ ส่องนกนานาชนิด ทำให้สังเกตได้ว่ารอบตัวเรามีนกที่ใช่นกพิราบกับนกกระจอกอีกตั้งมากมายไม่น้อยทีเดียว คุณบาสพาฉันเดินหลุดออกจากทางเดินสำหรับวิ่งออกกำลังกาย ไปสู่โคนของต้นไม้แต่ละต้น ย่อตัวลงดูอาณาจักรของมดที่อยู่ใต้กอเห็ดเล็ก ๆ นี่แหละคือ serious play การเล่นแบบจริงจัง ที่เราต้องการ
“เราไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ เราแค่อยากรู้เลยมาสำรวจเฉย ๆ บางอย่างเราก็ตอบได้ แต่เราไม่ใช่ครู ครูคือนี่”
บาสพูดจบพร้อมกับยกมือขึ้นสองข้างเร็ว ๆ เป็นนัยว่า ครูคือสิ่งที่รายล้อมเราอยู่ ณ ขณะนี้
ถึงแม้จะพูดอย่างนั้น บาสก็มีความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติในระดับที่มากกว่าคนปกติแน่นอน เราเดินไปที่มุมหนึ่งของสวนที่น้ำขังอยู่ ใบบอนจำนวนหนึ่งชูช่อขึ้นจากหนองน้ำ เขาสามารถเดาได้ว่า ดินตรงนี้อาจจะมีความชื้นและแร่ธาตุมากพอที่ต้นไม้ชนิดนี้จะเกิดได้ ลองดูรอบ ๆ สิ ดินชื้นเหมือนกัน เป็นหนองน้ำเหมือนกัน แต่มันกลับขึ้นแค่ตรงนี้
“แล้วเมล็ด (หรืออะไรก็ตาม) ของต้นบอน มันมาขึ้นอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” ฉันถาม
บาสดูพอใจกับคำถามนี้ทันที แล้วบอกว่า “ลองนึกดูสิ ว่ามันมาได้ยังไง”
“ขี้หมาเหรอ”
“เราเดาเอานะ ขี้นกน่ะ บางทีนกก็อึเอาเมล็ดพืชมาตกเอาแถวนี้ บางทีก็มากับฝน”
“มากับฝนได้ยังไงอ่ะ ฝนก็คือน้ำเปล่า ๆ ป้ะ”
“ก็ฝนมันอาจจะชะล้างเมล็ดอะไรมาจากไหนก็ไม่รู้ มาขึ้นอยู่ตรงนี้”
ไม่รู้สิ แต่ตอนนั้นฉันรู้สึกตะลึงใจกับความบังเอิญอย่างเป็นระบบของธรรมชาติที่คาดไม่ถึงนี้ แม้จะเคยเห็นจากในสารคดีมาก่อน แต่ก็ไม่เท่าได้ออกมาสัมผัสเอง — หญ้าแต่ละจุดที่ฉันเหยียบลงไป บาสชี้ให้เห็นว่า มันมีต้นไม้ขนาดเล็ก ๆ เป็นสิบชนิดก่อตัวกันขึ้นเหมือนป่าขนาดย่อมที่มีสัตว์ขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็นกิ้งกือ แมลง มด ไปจนถึงกบตัวเล็กอาศัยอยู่ นี่เป็นเพียงบริเวณใกล้นิดเดียวที่พวกเราเดินสำรวจไป
“เหมือนป่าย่อสวนเลยอะ”
“ใช่ ๆ แบบนี้แหละธรรมชาติเลย”
โอบกอดต้นไม้ ฟังเสียง ธรรมชาติ
ไม่นานฉันก็กลับนึกถึงการสำรวจแบบเด็กเล่นของคุณบาสอีกครั้ง อดคิดไม่ได้ว่าการสอนให้เด็กได้ทำแบบนี้จะดีขนาดไหน เลยเอ่ยปากบอกไป
“สอนเด็กรุ่นนี้เราว่าไม่ทันอ่ะ”
“ยังไงอ่ะ”
“เราว่าตอนนี้ถ้าผู้ใหญ่ยังไม่เข้าใจ มันก็ไม่ทันแล้ว”
คุณบาสอาจหมายความถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกที่น่าหดหู่ลงทุกวัน ถ้าหากเราจะสอนใคร เราควรจะสอนผู้ใหญ่ให้เห็นค่าของสิ่งเหล่านี้ก่อน ถึงจะให้พวกเขาไปสอนเด็กต่อละมั้ง
ไม่นานเราก็ได้เรียนรู้อีกหลายอย่างจนเกือบตามไม่ทัน น้ำในบ่อน้ำเป็นสีเขียวเพราะนี่คือฤดูฝน ที่มักมีการโตของแพลงก์ตอนบางชนิดเยอะกว่าปกติ ถ้าเป็นฤดูอื่นเรามักจะเห็นน้ำเป็นสีน้ำตาล เพราะแสงสะท้อนสีน้ำตาล สีของดินด้านล่างหรือของอนุภาคดินที่แขวนลอยในน้ำ ไม่ทันไรฉันก็ได้กอดต้นไม้ต้นหนึ่ง เอาหูแนบ และเสียงที่ได้ยินก็เหมือนเสียงน้ำเหมือนเราเอาหูไปแนบท้องแม่
“ลองหลับตาฟังดูสักสิบวินาทีดูนะ เสียงเหมือนอะไร”
“เสียงเหมือน ..น้ำ?”
“ถูกต้อง นึกดูสิต้นใหญ่ขนาดนี้ จะต้องมีน้ำขนาดไหนที่จะขึ้นไปหล่อเลี้ยงถึงข้างบนสุดได้ ต้นนี้เราชอบให้คนมาฟัง เพราะเขาไม่มีแปลือกแข็งเหมือนต้นอื่น”
ทันใดนั้นฉันก็จินตนาการถึงน้ำพุรูปต้นไม้ขึ้นมาได้พอดี
คำว่า serious play ของบาส ไม่ใช่คำที่เขาคิดขึ้นมาเฉย ๆ แต่มันคือความรู้สึกแบบนั้นจริง มันคือการเล่น มากกว่าการเรียน บาสไม่มีท่าทีของครูเลย เขาเหมือนมาเดินเป็นเพื่อนเฉย ๆ เพียงแต่ว่าเพื่อนคนนี้นึกไว้ในใจแล้วว่าจะเดินไปตรงไหน แต่สิ่งที่เขากลับค้นพบอะไรต่ออะไรได้ไม่สิ้นสุด
“บาสเดินแบบนี้มากี่รอบแล้วอ่ะ”
“คิดว่ารอบนี้น่าจะรอบที่ 10 แล้ว”
พวกเรากลับมาในพื้นที่หมู่บ้านพิบูลย์วัฒนา ในอากาศชื้นหลังฝนตก บาสชี้ให้เห็นว่า แม้แต่รูเล็ก ๆ บนร่องถนนยังมีต้นไม้แทรกขึ้นมาได้ เขาชวนให้ดู ต้นไม่ต้นหนึ่งที่แทรกขึ้นมาจากพื้นที่มนุษย์สร้างขึ้น
“จำใบมันได้ไหม ต้นอะไร”
“ต้นอะไรอ่ะ”
“ต้นไทร” เขาบอก พลางชี้ให้เห็นต้นไม้ผอม ๆ ที่หน้าตาไม่ต่างกับวัชพืชกำหนึ่ง
“มันโตเป็นต้นไทรแบบใหญ่ ๆ ได้เลยเหรอ”
“ใช่ พอรากมันโตอ่ะ บ้านเบิ้นพังหมด คนเขาต้องเอาน้ำร้อนราดให้มันตาย ถ้าแค่ดึงออกมันก็งอกออกมาใหม่ได้เรื่อย ๆ “
ความพยายามแหวกว่ายเติบโตบนผืนดินของพืชก็น่ายกย่องไม่น้อย มันเคยเป็นวัชพืชมาก่อนจะเป็นต้นไม้ใหญ่ แต่ในทางกลับกัน มนุษย์ต่างหากที่เป็นฝ่ายรบกวนพวกมัน
นี่แหละ… ธรรมชาติ
มาถึงจุดที่คุณบาสพาเราเดินกลับไปที่บ่อน้ำแห่งหนึ่งด้านหน้ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือที่ชาวอารีย์เรียกว่า “กระทรวงทรัพย์ฯ” พื้นที่ที่เพื่อนบ้านหลายคนนำขยะแยกแล้วมาทิ้งที่นี่ คุณบาสพาเดินทะลุออกนอกพื้นที่ส่วนหย่อมที่มีคนนั่งอยู่ไปด้านหลัง สู่พงหญ้ารกประมาณครึ่งหน้าแข้ง
นี่ยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่า ถึงจุดนี้ฉันยังไม่รู้จักเขาเลย
“กลัวไหม”
“กลัวงูอ่ะ”
“เดี๋ยวเราเดินนำหน้าให้ นี่แหละธรรมชาติ”
บาสอธิบายทีหลังว่า นี่แหละธรรมชาติ คือสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ เราคุ้นเคยกับการอยู่ในที่ที่ควบคุมได้ ถ้าร้อนก็เปิดแอร์ หนาวก็ปิดแอร์ ไม่มีอะไรมาทำร้ายเราได้ แต่การเอาตัวออกมาอยู่ในธรรมชาติมันคือการออกจากพื้นที่ที่มนุษย์ควบคุม ในทางหนึ่งมันก็ทำให้เรานอบน้อมลง
เราคุยกันเรื่องการทิ้งให้พื้นที่รกร้างกลายเป็นพื้นที่สีเขียวแบ่งให้กับธรรมชาติบ้าง ขณะที่ฉันเอา “เม็ดเป๊าะแป๊ะ” โยนลงน้ำรอให้มันแตก ขณะที่บาสใช้กล้องส่องทางไกลมองนกเป็ดน้ำตัวหนึ่งที่เกาะอยู่ไม่ไกล
“เด็กสมัยก่อนนี่ต้องไม่มีอะไรทำมากเลยนะ ถึงได้คิดค้นการเอาไอ้เม็ดนี่มาโยนลงน้ำเล่นได้” ฉันบอกบาส
เกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว บาสกับฉันนั่งลงที่ม้าหินอ่อนหน้ากระทรวงทรัพย์ ที่ที่ด้วยความที่มันเป็นสถานที่ราชการฉันมิอาจคิดจะเข้ามานั่งโดยไม่มีกิจอันสมควรมาก่อน บาสเปิดสมุดสารานุกรมนกที่ค้นพบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาให้ดูทีละหน้า โดยสำรวจว่าวันนี้เราเจอนกอะไรบ้าง พลางสอนวิธีอ่านอ้างอิงสารานุกรมอย่างเร็ว ดูเหมือนวันนี้บาสจะไม่ได้เจอนกอะไรใหม่ ๆ
เสร็จแล้ว ฉันก็นั่งเขียนสรุปความรู้สึกในวันนี้ใส่กระดาษ Post-it ว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง คิดอะไรได้บ้าง และตบท้ายด้วยคำถามว่า “ธรรมชาติ คืออะไร”
“ไม่มีผิดถูกนะ แล้วแต่จะคิดเลย”
“อืม เราว่าธรรมชาติ มันคือแทบจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างเลยนะ เป็นค่าตั้งต้น ความเป็นไปของทุกอย่างเลย ตอบว่าอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติดีกว่า สำหรับเรามันคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น แล้วก็อัพเกรดไปเรื่อย ๆ ในตอนแรกอาจมีแรงจูงใจจากธรรมชาติ แต่สุดท้ายมันพัฒนาไปเป็น วัฒนธรรม เทคโนโลยี ต่าง ๆ อย่างเช่น รูปทรงสี่เหลียม สามเหลี่ยม มันหาไม่ได้ในจักรวาล เราก็มองว่าไม่เป็นธรรมชาติ”
สำหรับบาส เขาคิดว่า
“ไม่มีอะไรตัดขาดจากธรรมชาติได้ ธรรมชาติคือความเป็นหนึ่งเดียวกัน และในนั้นมีพวกเราทุกคนอยู่ด้วย แม้มนุษย์คิดว่าตัวเองอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร ถูกเสือกินก็ผลิตปืนขึ้นมายิงเสือ แต่สุดท้ายก็ถูกเชี้อโรคกินได้อยู่ดี”
แม้ความเป็นคนแปลกหน้าจะหมดไปแล้ว แต่ฉันได้รู้จักบาสจริง ๆ ตอนที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้สัมภาษณ์บ้าง ผู้ชายคนนี้เป็นใครมาจากไหน
รู้จัก…เพื่อนบ้าน
บาสอยู่แถวซอยสายลม (ตรงข้ามอารีย์) มาประมาณ 5 ปีแล้ว มาจากครอบครัวที่พ่อแม่ทำธุรกิจ และอยากให้ลูกเรียนในสิ่งที่สร้างอาชีพได้ ซึ่งความใฝ่ฝันของเขาคืออยากทำงานในอุทยาน แน่นอนว่าพ่อแม่ลมจับกับความคิดนี้ เงินเดือน 7,500 บาทในตอนนั้น แม้แต่บาสเองก็คิดว่าคงไม่ไหว ไปสอบได้สัตว์แพทย์จุฬาฯ อย่างน้อยก็ได้เรียนจุฬาตามความตั้งใจของที่บ้าน แม้ว่าจะไม่เข้ากับไลฟ์สไตล์เขาก็ตาม ยกเว้นปี 6 ที่เขาได้เริ่มรักษาสัตว์จริง ๆ
ไม่นานบาสก็มาทำธุรกิจในสวนของที่บ้าน สวนซึ่งมีผลผลิตหลักเป็นเลมอนชื่อว่า พสุธารา อยู่ที่จังหวัดราชบุรี ดูแลแบรนด์สินค้าจากผลผลิตของครอบครัว ก่อนที่จะย้ายมาอารีย์ เพื่อสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด Ali Everyday Products ที่พยายามลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุดเป็นของตัวเอง
ทุกเช้าวันอาทิตย์ บาสก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ไม่อยากตื่น แต่เขาก็ลากตัวเองออกมาเดินสำรวจธรรมชาติในย่านอารีย์ เขาย้ำว่า เขาไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ครู ไม่ได้เก็บข้อมูลไปทำอะไร เขาแค่อยากออกมาสำรวจ เดินเล่น และเอาตัวเองออกไปสู่ธรรมชาติบ้าง
แม้จะหาได้น้อยเต็มทีก็ตาม
Comments are closed.